วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

มนต์ คาถา อาคม ในพระพุทธศาสนา



คำนำ

     พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางศาสนาพราหมณ์โบราณ  ศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้าของเรานับถือศาสนาพราหมณ์มาแต่ด้ังเดิม  เมื่อเจ้าชายสัทธัตถกุมารประสูติน้้น   พระเจ้าสุทโธนทนะก็ทรงนิมนต์พราหมณ์ ๑๐๘ องค์มาฉันภัตตาหารในวัง ให้พราหมณ์ดูดวงชะตา  และให้พราหมณ์คิดพระนามถวายด้วย  พระนามสิทธัตถกุมาร ก็คือชื่อที่พราหมณ์ถวายตามตำราโหราศาสตร์

     ในศาสนาพราหมณ์  นักพรตต้องเรียน  "ไตรเพท"  คือ  ฤคเวทหนึ่ง  ยชุรเวทหนึ่ง  สามเวทหนึ่ง  ภายหลังมีอาถรรพเวทอีกหนึ่ง   ไตรเพทคือวิชชาสาม ในพระเวทเหล่าน้้นล้วนแต่มีคำสวดสาธยายมนต์  ล้วนแต่เป็นมนต์สรรเสริญพระเจ้า   มนต์อธิษฐานจิตต่อพระเจ้า   มนต์อ้อนวอนพระเจ้า  มนต์เข้าฌานภาวนากระทำสมาธิจิต  พราหมณ์เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์    เพราะได้ฌานสมาบัติขั้นจตุตถฌา  รูปฌาน  อรูปฌาน  อากิญจัญญายตนฌาน  วิญญาญัญจายตนฌาน  เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน   ที่เรียกว่า  ฌานสมาบัติชั้นสุงจนถึงฌานที่ ๘ ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ ถอดจิตได้ แสดงฤทธิ์ได้ เหาะได้  หายตัวได้ ไปปรากฎตัวในที่ห่างไกล
        พระพุทธเจ้าก็เรียนสำเร็จฌานสมาบัติชั้นสูงแล้ว  จากพระอาจารย์อาฬารดาบส  กาลามโคตร อุทกดาบส รามบุตร  แตทรงทราบว่าเป็นฌานโลกีย์  เสื่อมได้  ไม่ใช่หนทางดับทุกข์  จึงทรงลาจากอาจารย์ทั่้งสองไปแสวงหาทางพ้นทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน  ตายแล้วไม่เกิดเป็นอมตะเทพ  เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวาติเทพ  หรือเป็น  "พระเจ้า"    สูงสุดในพระนิพพานเมืองแก้ว   ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป  ทรงต้ังพระธรรมวินัยใหม่ขึ้นมาในท่ามกลางศาสนาพราหมณ์น้ันเอง   คนที่เข้ามาบวช จะเป็นเบญจวัคคคีย์ทั้ง  ๕ จะเป็นฤาษีกัสสปะ  ๑๐๐๐ องค์น้ันล้วนแต่เป็นพระฤาษี เป็นดาบส  เป็นนักพรต  เป็นพระสิทธา  ในศาสนาพราหมณ์เก่าทั้งสิ้น  พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๒๕๐ องค์รุ่นแรกน้ันคือพระฤาษีชีไพรในศาสนาพราหมณ์ทั้งสิ้น   พระฤาษีเหล่านี้ลวนแต่เชียวชาญในพระเวท เคยสวดมนต์ เคยสาธยายมนต์ เคยเชี่ยวชาญในเวทมนต์มาก่อนทั้งสิ้น  เคยทราบมาอย่างดีจากการปฎิบัติว่า ในต์น้ันคือเครืองมือในการบำเพ็ญตบะ   ก่อให้เกิดฤทธิ์เดช ก้อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์นานาประการ   เพราะมนต์ทำให้จิตสงบเกิดฌานสมาบัติ  แม้พระพุทธเจ้าเองก็ทรงเชียวชาญมาก่อน  จนแสดงฤทธิได้อย่างเชียวชาญ  สามารถปราบพยศของพระอุรุเวละกัสสปะ  พระคยากัสสปะ  พระนทีกัสสปะให้หายพยศได้   จนเข้ามามอบตัวเป็นพระสาวกรุ่นแรกก็ด้วยทรงมีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์เหนือพระฤาษีทั้ง  ๓ พระฤาษีทั้ง ๓ จึงนำพระสาวกมาบวชหมดสิ้น   ประกาศให้คนทั้งหลายรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ที่แท้จริง 

     เพราะเหตุนี้เมื่อพระพุ่ทธองค์ทรงต้ังพระธรรมวินัยขึ้นแล้ว  จึงมิได้ทอดทิ้งเวทมนต์ คาถาจึงทรงบอกมนต์คาถาให้พระสาวกไปสวดสาธยาย

     ในพระพุทธศาสนาจึงมีครบบริบูรณ์ ทั้ง เวท, มนต์, คาถา, อาคม  

     ใครว่าพระพุทธศาสนาไม่มีเวทมนต์ คาถา จึงเป็นการพูดเดาสวด  พูดโดยไม่มีความรู้ทางพระธรรมวินัย  พูดโดยไม่มีครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอน  พูดโดยไม่ทันได้ศึกษาหาความรู้ให้รู้แจ้ง  พูดแบบนกแก้วนกขุนทอง พูดโดยการเดาสวด ส่งเดช อวดรู้  พูดแบบโมฆะบุรุษ  บุรุษคัมภีร์เปล่า (จำพวกไาม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีหลักการ ไม่มีอุดมคติ)  

      มนุษย์อย่างนี้มาีมากขึ้นมากมายในปัจจุบันสมัย คนพวกนี้ไมเคยบวช  ไม่เคยเรียน  ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ ที่รู้จริงในพระพุทธศาสนา  เป็นพวกศึกษามาแต่ทางโลก ตามแบบฝรั่ง  แต่เขาเป็นฝร่ั่งข้ี้นก คนพวกนี้จะเป็นไทยก็ไม่ใช่ ฝรั่งก็ไม่เชิง  เข้าไม่ได้ท้ังทางไทยและฝรั่ง  คือฝรั่งเขาไม่นับถือคนพวกนี้ เขากลับมานับถือพระสงฆ์ไทยที่แท้จริง  เขากราบไหว้พระอย่างหลวงพ่อชา   เขาเข้ามาบวชอยู่กับพระนักปฎิบัติ  

     พระพุทธเจ้าตรัสไว้นานแล้ว กว่า ๒๕๐๐ปีมาว่า 
     ๑.พุทธวิสัยอย่างหนึ่ง
     ๒. ฌานวิสัยอย่างหนึ่ง
    ๓. กรรมวิสัยอย่างหนึ่ง
    ๔.โลกวิสัยอย่างหนึ่ง

     วิสัยท้ังสี่  เป็นเรื่องไม่ควรคิด เป็นเรื่องเหลือคิด  เป็นเรื่องเหนือเหตุผล ท่านเรียกว่า "อจินไตย" พ้นที่จะคิด พ้นที่จะตรึกตรองเอาตามหลักตรรกวิทยา
     
     เช่น  คิดว่าเหตุไฉนพระพุทธเจ้าจึงทรงแจ้งโลก เหตุใดจึงระลึกชาติหนหลังได้นับร้อยชาติพันชาติ  เหตุไฉนจึงรู้ถึงเรื่องการเกิดการตายของสรรพสัตว์ เหตุไฉนจึงทรงทราบย้อนหลังได้นับแสนปี เหตุไฉนจึงทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้นับพันปี  เหตุไฉนจึงทรงอิทธิปาฎิหารย์เหลือเกินจนผิดมนุษย์สามัญทั้่งปวง
     คิดอย่างนี้แล้วหัวแตกเปล่า ไม่สามารถจะคิดออกได้เลย  เพราะนี่คือ พุทธวิสัย  เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่าน้ัน 
     หรือคิดว่าเหตุไปนพระฤาษีชีไพรบางองค์จึงอดอาหารได้นับเดือนนับปีแต่ไม่ตาย  อย่างโยคีหญิงองค์หนึ่งในอินเดียชือโยคีคีรี  ไม่เคยกินอาหารเลยมาหลายปีแล้ว  แต่ยังมีชีวิตอยู่  อย่างนี้คิดไม่ได้หาเหตุผลไม่ได้  เพราะนั่นคือ ฌานวิสัย
     หรือคิดว่าเหตไฉนกรรมจึงให้ผลข้ามภพข้าพชาติ ทำกรรมไว้แต่ชาติก่อนด้วยการทุบตบตีบิดามารดาแล้วมาเกิดในชาตินี้เป็นพระโมคคัลานะ ก็มาถูกโจรทุบตี   เพราะน่ันคือ วิสัยของกรรม

    การที่จะมานั้งคิดว่าเหตุไฉนมนต์จึงศักดิ์สิทธิ์ก็คิดไม่ได้  เพราะนั่นคือ ฌานวิสัย หรือจะเรียกว่าจิตวิสัยหรือมนต์วิสัยก็ได้  เพราะมนต์เกิดจากอำนาจจิต  อำนาจจิตเกิดจากฌาน น่ันคือฌานวิสัย  ที่แปรรูปมาเป็นมนต์วิสัย คนไม่เคยเรียนก็ไม่รู้  คิดไมออกว่ามันมาอย่างไร  มนต์จึงศักดิ์สิทธิ์เพราะมนต์บทเดียวกันคนหนึ่งสาธยายมนต์นี้แล้วสะเดาะกุญแจออก  แต่คนหนึ่งสาธยายแล้วก็นิ่งเฉย ไม่เกิดผลเลย  น่ันคือมนต์สะเดาะกุญแจทีมีอยุ่ ๔ คำ ว่า  "จะ ภะ กะ สะ"

     มนต์ในพระพุทธศาสนามีครบถ้วน
   
     ๑.เวท   คือท่านเอาพระอภิธรรมมาสวดสาธยาย   เช่น กุสลา  ธัมมา  อะกุสลา  ธัมมา  เป็นมนต์สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา  เพราะเอาเนื้อแท้ของพระปรมัตถธรรมมาสวด
     ๒. มนต์  คือ ท่านเอาพระสูตรมาสวด  เช่น รัตนสูตร  อาฎานาฎิยสูตร  เมตตสูตร  ดั่งเช่นทีท่านนำมาสวดในเจ็ดตำนาน  สิบสองตำนาน
     ๓. คาถา  คือ ท่านนำเอาคำย่อในคำสอนจากพระสูตรมาสวด  เช่น  "สันติ ปักขา  อะปัตตะนา สันติ  ปาทา อะวัญจะนา  มาตา ปิตา จะ นิกขันตา  ชาตะเวทะ  ปะฎิกกะมะ"   จากพระสูตรเรื่องเสวยชาติเป็นนกคุ่มโพธิสัตว์ ท่านเอามาสวดทำยันต์กันไฟไหม้
    ๔.  อาคม  คือ ท่านแต่งบทคาถาขึ้นใหม่  อ้างเอาพระพุทธคุณมาตั้งสัตยาธิษฐาน  เช่น  พุทธชัยมงคลคาถา ที่สมเด็จพระวันรัตน์ท่านแต่งขึ้นเป็นพระอาคมถวายพระนเรศวรมหาราช  ที่เราเรียกกันว่า  พาหุงแปดบทนั่นคือ อาคม ซึ่งแปลว่า นำเอามาใช้ เรียกเอามาใช้  อาราธนามาใช้

    พระพุทธศาสนามีเวท มนต์ คาถา อาคม มากที่สุดกว่าศาสนาใดๆ ในโลกนี้

     มนต์ในพระพุุทธศาสนา ท่านสวดสาธยายเพื่อจุดประสงค์ ดังต่อไปนี้ คือ
     ๑.สรรเสริญ  พระรัตนตรัย  ในภาษามคธ ท่านเรียกว่า  "ปณาน"
     ๒.อธิษฐาน  ท่านใช้คำว่า  "ตั้งสัตยาธิษฐาน"
     ๓.รำลึกถึง  พระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ  ในภาษามคธ ท่านใช้คำว่า  "สรณะ"
     ๔.นอบน้อม  สาธยายเพื่อนอบน้อม  สักการะบูชา  กราบไหว้ ท่านใช้คำว่า นะโม  นมัสการ  ซึงแปลว่า นอบน้อม
    ๕. อาราธนา  เรียกร้อง เชื้อเชิญ  เอาพระพุทธคุณมาคุ้มครองป้องกันสรรพภุัย
     ๖. ถวายชีวิต  ต่อพระรัตนตรัย  เช่น พุทธัง  ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ  ขอถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้าจนตลอดชีวิต  จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน

     ๑. มนต์บทแรกที่พระบรมศาสดาทรงส่ังสอนพระอริยสาวกคือ "อิติปิโส ภะคะวา"   โดยตรัสว่า  "ดูก่อนภิกษุทั่้งหลาย ถ้าหากวาเธอเกิดความกลัว  หวาดหวั่นพรั่นพรึง  ขนพองสยองเกล้า เมื่อเธอเข้าไปอยู่ป่าก็ดี สุ่โคนไม้ใหญ่ก็ดี  สู่เรือนร้างก็ดี  สมัยน้ันเธอทั้งหลาย  พึงสวดระลึกถึงเรา พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า   "อิติปิโส ภะคะวา ฯลฯ"   เมือเธอทั้่งหลายตามระลึกถึงเราผู้มีรัศมีแบ่งภาคได้  ความกลัว ความหวาดหวั่นพร่ันพรึง ขนพองสยองเกล้าจักหายไป  เพราะตถาคตเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ  เป็นผู้ไม่กลัว  ไม่สะดุ้ง ไม่ตกใจ ไม่หนี ...."

     ๒. มนต์บทที่สองที่พระบรมครูตรัสสั่งสอนพระอริยสาวกคือ  "สะวากขาโต  ภะคะวะตา ธัมโม"  โดยตรัสสั่งสอนพระอริยสาวกว่า
      "ถ้าเธอไม่ระลึกถึงตถาคต  ก็จงระลึกถึงพระธรรมว่า  "สะวากขาโต  ภะคะวะตา ธัมโม ฯลฯ "  ความกลัว ความหวาดหวั่นพร่ันพรึง ขนพองสยองเกล่้า ก็จักหายไป"

     ๓. มนต์บที่สาม  ที่พระบรมครูทรงส่ังสอนพระอริยสาวกคือ "สุปะฎิปันโน  ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ฯลฯ"
    "ถ้าเธอมไ่ระลึกถึงพระธรรม  เธอก็จงระลึกถึงพระอริยสงฆ์  ดังนี้ว่า  "สุปะฎิปันโน ภะคะโต สาวะกะสังโฆ ฯลฯ"  ความกลัว ความหวาดหวั่นพร่ันพรึง ขนพองสยองเกล้าก็จักหายไป"

     ทรงส่ังสอนว่า
     "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็ผู้ใดแลตามระลึกถึงตถาคต หรือตามระลึกถุึงพระธรรม  หรือตามระลึกถึงพระอริยสงฆ์  มีศรัทธาต้ังมั่นถึงโดยส่วนเดียวด้วยความเลือมใสยิ่งแล้ว   ความระลึกของผู้นั้นเป็นความระลึกอย่างยิ่งกว่าความระลึกทั้งปวง    เพราะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งปวง  เพื่อก้าวพ้นจากความโศกปริเทวนาการ  เพื่อก้าวล่วงแห่งทุกข์โทมนัส  เพื่อบรรลุพระอริยมรรค  เครืองนำสัตว์หลุดพ้นจากกองทุกข์  เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง..."

     ๔. มนต์บทที่สี่คือ รัตนสูตร  ที่พระบรมครูบอกให้หมู่สงฆ์สวดสาธยายเมื่อเมื่องเวสาลีเกิดโรคห่าระบาด ผู้คนล้มตายจำนวนมาก   เมื่อพระสงฆ์สวดสาธยายมนต์๋บทนี้จบลง  ฝนก็ตกลงมาเจิ่งนองท่วมพื่นดินชำระล่้างโรคให้ละลายไปตามน้ำ  ชาวเมืองก็หายจากโรคห่าน้ัน
     
     ๕. มนต์บทที่ห้าคือ  อุณหิสวิชโย  ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกแก่เทพบุตรชื่อ สุปฎิตเทพบุตรในดาวดึงส์  เม่ื่อเทพบุตรองค์น้้นจะหมดบุญต้องลงมาเกิดในมนุษย์โลก  เทพบุตรองค์น้้นยังไม่อยากจุติลงมาเกิดจึงถามพระพุทธองค์ว่ามีมนต์บทใดบ้าง ที่สวดแล้วอายุยืนยาวต่อไป  พระพุทธองค์จึงทรงบอกมนต์บทนี้ให้  พระภิกษุสงฆ์จึงนำมาสวดในการทำบุญต่ออายุให้แก่พุทธศาสนิกชนมาแต่โบราณกาล

     ๖. มนต์บทที่หก  คือ  "ยะโตหัง ภะคินี อะริยายะ ชาติยา ชาโต..." ที่ทรงบอกอุปเท่ห์แก่พระองคุลีมาลให้เอาไปสวดสาธยายให้หญิงคลอดบุตรง่าย ที่โบราณาจารย์เอามาใช้ทำน้ำมนต์คลอดบุตรง่าย

     ๗. มนต์บทที่เจ็ด คือ "สันติ ปักขา อะปัตตะนา..." ที่ทรงเล่าว่าพระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นนกคุ่ม ไฟป่าลุกลามมา  จึงว่ามนต์บทนี้ไฟผ่าก็ดับลง  โบราณจารย์จึงนำมาทำยันต์กันไฟไหม้ จารึกพระคาถา   ๔ บาทน้้น

     นี่คือ ตัวอย่างมนต์ที่มีมาแต่สมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนมายุอยู่ มนต์ในพระพุทธศาสนามีมาต้ังแต่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนมายุอยู่ในโลกนี้ พระพุทธองค์นั่นแหละเป็นผู้บอกมนต์ไว้หลายบท  พุทธศาสนิกชนยังนำมาสวดสาธยายอยู่จนทุกวันนี้  มนต๋์ในพระพุทธศาสนามีครบถ้วน คือ

     ๑.พระเวท  เอาพระอภิธรรมมาสวด
     ๒. พระมนต์ เอาพระสูตรมาสวด
     ๓.พระคาถา ตัดตอนเอาคำสั่งสอนที่ศักดิ์สิทธิ์มาสวดสั้นๆ
     ๔.พระอาคม  พระเกจิอาจารย์แต่งขึ้นใหม่  อ้างเอาพระรัตนตรัยมาเป็นอานุภาพ

     เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระพุทธมนต์ในพระพุทธศาสนามีอยุู่มากมาย จึงขอนำเอามนต์ศักดิ์สิทธิ์ของโบราณมาเผยแพร่เพื่อให้ท่องจำสวดมนต์กันต่อไป   ใครมีบุญอันได้เคยสั่งสมมา ย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะท่องจำไว้ใช้สวดสาธยายต่อไป

     วิธีที่ดีที่สุดในการท่องบทสวดมนต์คือ  เอามาอ่านตามตัวหนังสือทุกวันในเวลาสวดมนต์ อ่านนับร้อยนับพันครั้งแล้ว  ย่อมจะคล่องปาก จำได้ขึ้นใจเองเหมือนพระสงฆ์ท่องพระปาฎิโมกข์น่ันแล

     ข้าพเจ้าเผยแพร่พระพุทธมนต์นี้เอาบุญ  ไม่ได้ทำเป็นการค้าหากำไรแต่อย่างใดเลย  ใครซื้อหามาอ่านก็จงอนุโมทนาบุญด้วยเถิ  การอนุโมทนาบุญก็ย่อมได้บุญเหมือนกัน  ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเราน้ัน  บอกบุญก็ได้บุญ  อย่าได้สงสัยแคลงใจเลย

     การศึกษาพระธรรมมน้ันนั่งตรึกตรองเอาเองตามเหตุผลไม่ได้ ต้องมีครู มีอาจารย์ชี้ทางสวรรค์นิพพานไให้จึงไม่หลงทาง   การศึกษาพระธรรมในพระพุทธศาสนานี้ ท่านตรัสรู้ ท่านสั่งสอน ท่านวางหลักเกณฑืไว้แล้ว  

     บทสวดมนต์น้้นคือสื่อใจ  เป็นอาวุูธของนักพรตคือบทสวดมนต์  บทสวดมนต์คือไม้เท้า บทสวดมนต์คือเครื่องยึดมันของจิตให้มีพลัง  จิตจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แส่ออกไปนอกกาย  ถ้าไม่มีมนต์เป็นอาวุธ นักพรตจะไม่มีหลักยึดเหนี่ยวของจิต  จิตจะฟุ้งซ่านเลื่อนลอย  จะไม่มีสมาธิ  เมื่อไม่มีสมาธิ เหมือนแสงอาทิตย์ส่งอไปทั่่วทิศ ไม่มีพลังมาก แต่เมื่อเอากระจกเว้ากระจกนูนมาส่องแสงอาทิตย์ให้รวมแสง  จะมีพลังเผาไหม้เกิดเป็นไฟแรงกล้า

     มนต์นี้เป็นของโบราณ สืบทอดกันมานานนับพันปี  เป็นมนต์ของพระพุทธเจ้าโดยตรงก็มี เช่น บทอิติปิโส สะวากขาโต  สุปะฎิปันโน  เป็นมนต์บทแรกของพระพุทธเจ้า  เป็นมนต์ของพระอรหันต์ก็มี เป็นมนต์ของพระเกจิอาจารยืก็มี  พระเกจิอาจารย์แปลว่า พระอาจารย์ชั่้นยอด  มนต์บทพาหุงน้ันคือมนต์ของพระวันรัตน์ บทสวดมนต์เหล่านี้จดจำกันมานาน  ตกมาจนถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์(มา)วัดสามปลื้ม และพระครุมงคลญาณสุนทร (ผ่องจินดา)  พระเกจิอาจารย์ผู้มีชือ่เสียง  ผู้บวชถวายชีวิตอุทิศพระราชกุศลให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั  จนมรณภาพในผ้าเหลือง    ได้ต้นฉบับมา เมื่อท่านมรณภาพลง คณะศิษย์ได้นำมาเผยแพร่

     ปัจจุบันนี  เป้นยุคที่คนมีวิจิกิจฉามา โดยเฉพาะวิจิกิจฉาในการสวดมนต์ว่ามีผลหรือไม่ก็ยุ่งยากใจที่จะเชือ  ผมจึงนำบทสวดมนต์มาาเผยแพร่เอาบุญ

                                             
                                                                                       เทพ    สุนทรศารทูล

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พระธรรมบทไตรพากย์ พระธรรมบทคำโคลง (คำนำ)





คำนำ

     พระธรรมบท (บทแห่งพระธรรม)  ๔๖๓ บท หรือ ๔๒๓ พระธรรมขันธ์นี้ เป็นคัมภีร์สำคัญมาก  ผู้อ่านจะได้ความรู้ในหลักธรรมคำตรัสสอนของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าครอบคลุมไป  เปรียบเสมือนมองดูต้นโพธิพฤกษ์สูงใหญ่เห็นช่อใบ กิ่งก้านสาขา ลำต้น รากขวัญที่งอกงามออกไป  จนรู้จักว่าต้นโพธิพฤกษ์ต้นสูงใหญ่นี้  เมื่อไปพบเห็นต้นโพธิพฤกษ์ที่ไปงอกอยู่ที่ไหนอีกก็จำได้ทันทีว่านี่คือต้นโพธิ   เป็นลูกของต้นโพธิพฤกษ์ต้นเดิมมาแพร่พันธ์ุอยู่  

     คัมภีร์พระธรรมบทนี้  มีตำนานสืบเนื่องมาช้านาน   คือ  
     
     ๑. พระภิกษุชาวอินเดีย  ได้รวบรวมเอาคำตรัสสอนในพระสุตตันตปิฎกมาร้อยกรองเป็นคำฉันท์ในภาษาบาลีแบ่งออกเป็นหมวดธรรม  ๒๖  หมวด  รวม  ๔๒๓  ข้่อ  หรือ  ๔๒๓ พระธรรมขันธ์  เป็นยุคแรก

     ๒. พระภิกษุ สังฆรัตนะ  แห่งมหาโพธิสภา  แห่งเมืองสารนาถ ประเทศอินเดีย  ได้แปลออกเป็นภาษาสันสกฤต  ในอักษรเทวนาครี  นับเป็นยุคที่สอง

     ๓. พระภิกษุ A.P. BUDDHADATTAMAHATHERA  AGGARAMA , AMBALANGODA ,COLOMBO, CEYLON  ได้แปลออกเป็นภาษาอังกฤษในประเทศศรีลังกา  เป็นยุคที่สาม

     ๔. พระสุวิมลธรรมมาจารย์ (สวัสดิ์ ควงโต)  วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ  ได้แปลออกมาเป็นภาษาไทย  เมื่อ พ.ศ.  ๒๕๑๐ เป็นยุคที่สี่ 

     ๕. พ.อ.ทวิช เปล่งวิทยา   ได้นำเอาทั้ง ๓ เรื่องข้างต้นน้้น  มาทำเป็นภาษาขอมเพิ่ม  ซึ่่งเป็นอักษรที่ ๔ พิมพ์โรเนียวออกเผยแพร่   เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔  เรียกว่า   "ธรรมบทปัญจพากย์"   คือ อักษรเทวนาครี  อักษรขอม  อักษรไทยภาษาบาลี คำแปลร้อยแก้วภาษาไทย  และภาษาอังกฤษที่ท่านทำไว้ก่อนแล้ว    เพียงแต่เป็นอักษรขอมขึ้นอีกแบบหนึ่ง  ฉบับนี้สมบรูณ์ที่สุด  นับเป็นยุคที่ ๕

     ๖. ข้าพเจ้านายเทพ  สุนทรศารทูล  ได้รจนาเป็นภาษากวีในรูปของโคลงสี่สุภาพ    เพื่อรักษาแบบโบราณไว้   ทั้งนี้เพราะพระธรรมบทน้้นท่านก็รจนาไว้เป็นคำฉันท์ในภาษาบาลีมาแต่แรก  ไม่ใช่ภาษาร้อยแก้วธรรมดา   จึงนำมารจนา   เป็นภาษาบาลีตามแบบฉันทลักษณ์ในภาษาไทย   แบบโคลงสี่สุภาพ  เพื่อรักษาประเพณีเดิมเอาไว้   อ่านแล้วจะได้รับอรรถรสในแบบธรรมรสในภาษาบาลีอันไพเราะกว่าภาษาร้อยแก้ว  เรืองนี้ได้แต่งไว้นานถึง ๒๐ ปีแล้ว  จึงเห็นว่าสมควรจะพิมพ์เผยแพร่  ดีกว่าทิ้งไว้ให้สาบสูญไปเสียเปล่าประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน   คร้ังนี้นับเป็นยุคที่  ๖ 

     ๗. ต่อมา  เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐ ราชบัณฑิตยสถานได้จัดทำ  "พระธรรมบทจตุรภาค" ขึ้นทูลเกล้าฯ  ถวายเนื่องในมหาวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ  ๕ รอบ  เมือวันที่  ๕ ธันวาคม  พ.ศ. ๒๕๓๐  โดยได้เปลี่ยนแปลงสำนวนแปลภาษาไทย  และภาษาอังกฤษผิดเพี้ยนไปจากที่ท่านธรรมบัณฑิตแต่เก่าก่อนได้ทำไว้ใน  ๔ ยุค   มีถ้อยคำสำนวนไม่เหมือนเดิม  คร้ังนี้นับเป็นยุคที่  ๗ 

      นี่คือประวัติอันสืบเนื่องยาวนานมาของการจัดทำ "พระธรรมบท"  คัมภีร์อันสำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนา  ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าไม่ได้อ่านพระธรรมบท  ก็เรียกว่ายังศึกษาพระพุทธศาสนาไม่กว้างขวางพอ  จึงสมควรอ่านคัมภีร์พระธรรมบทนี้โดยทั่วกัน  

                                                                    
                                                                                             เทพ   สุนทรศารทูล

                                                                                            ๒๔   มกราคม  ๒๕๔๕