โดย
เทพ สุนทรศารทูล
ตอบคำถาม - เกิดมาทำไม
ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่อง "เกิดมาทำไม" ของคุณเชวง เดชะไกศยะ แล้วก็อยากจะสนทนาธรรมกับท่านผู้อ่านต่อไปในเรื่อง "เกิดมาทำไม" นี้
เพราะ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า "กาเลนะ ธัมมสากัจฉา เอตัมมัง คละมุตตะมัง" การสนทนาธรรมตามกาลเทศะเป็นอุดมมงคล
เรื่องเกิดมาทำไมนี้ มนุษย์ร้อยละร้อย ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม กว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว จนกระทั่งมหาบุรษองค์หนึ่งอุบัติขึ้นมาในโลก เมื่อก่อนพระพุทธศาสนา ๘๑ ปี ชือว่า สิทธัตถกุมาร เกิดมาได้ ๓๖ ปี ท่านจึงตรัสรู้ธรรมอันวิเศษว่าคนเกิดมาทำไม
ท่านจึงตรัสสอนไว้ว่า
๑. มนุษย์เกิดมาเพราะอวิชชา เกิดมาเพราะไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม ถ้าคนใดรู้แจ้งว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไมแล้ว คนนั้นก็จะไม่เกิดมาอีกเหมือนพระพุทธเจ้าที่จะไม่เกิดอีกแล้ว เกิดชาตินี้่เป็นชาติสุดท้าย พระอริยสงฆ์สาวกที่บรรลุธรรมแล้่วเป็นพระอรหันต์เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็รู้ว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม แล้วท่านก็ไม่เกิดอีกทุกองค์
พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในเรื่อง"ปฎฺิจจสมุปาท" (แปลว่าการเกิดขึ้นอย่างสืบเนื่องของชีวิต) ว่า คนเกิดมาเพราะอวิชชา, อวิชชาก่อให้เกิดสังขาร, สังขารก่อให้เกิดวิญญาณ, วิญญาณก่อให้เกิดนามรูป, นามรูปก่อให้เกิดสฬายตนะ, สฬายตนะก่อให้เกิดผัสสะ, ผัสสะก่อให้เกิดเวทนา, เวทนาก่อให้เกิดตัณหา, ตัณหาก่อให้เกิดอุปทาน, อุปทานก่อให้เกิดภพ,ภพก่อให้เกิดชาติ
"ชาติ" คำนี้แหละคือชีวิต
เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระอาจารย์บางท่านนำคำว่า "อิทัปทปัจยตา" มาถกแถลงด้วย
ที่จริง คำว่า "อิทัปปัจจยตา " แปลว่า "สิ่งนี้มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา" เมื่อหมดปัจจัยปรุงแต่งแล้วมันก็เสือมสลาย คือตายไป
"ปฎิจจสมุปบาท" แปลว่า "การเกิดขึ้นอย่างสืบเนื่องของชีวิต" มีความหมายกว้างกว่า ลึกกว่า มีความหมายรวม "อิทัปปัจจยตา"ด้วย
รวม
๒.เกิดมาเพราะกรรม อย่างที่คนโบราณท่านพูดว่า เกิดมาใช้กรรมเก่า
พระพุทธองค์ตรัสว่า"กัมมัง เขตตัง วัญญาณังพีชัง ตัณหัง สิเนโห" กรรมเป็นเนื้อนา วิญญาณเป็นเมล็ดพืชพันธ์ ตัณหาเป็นความทะเยอทะยานอยากเกิดมาเป็นชีวิต วิญญาณแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันอวิชชากั้นไว้ มีตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด อันตั้งอยู่ด้วยกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์จึงต้องไปเกิดในเบื้องหน้า คือกามภพ รุปภพ และอรุปภพ (กำเนิดเป็นสัตว์ มนุษย์ เทวดา พรหม) สัตว์โลชกเกิดมาดีทรามต่างกันเพราะแรงกรรมในชาติปางก่อน
ท่านว่าแรงใดๆในโลกนี้ ไม่มีแรงใดจะแรงเท่าแรงกรรมไปได้เลย ส่งผลข้ามภพข้ามชาติทีเดียว ถ้ายังไม่บรรลุพระนิพพานตราบใดก็ต้องเกิดมากินบุญเก่า เกิดมาใช้กรรมเก่า อยู่ตลอดไปชั่วกัปป์กัลป์ ใครว่าตายแล้วสูญ คนนั้น่เป็นมิจฉาทิฎฐิ
๓.เกิดมาเพราะตัณหา ตัณหานี้คือ ภวตัณหา คืออยากเกิดอยากมีชีวิตอยู่ แม้จะเป็นคนยากจน เป็นคนทุพพลภาพ ก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ อยากเกิดใหม่ในชาติหน้าที่ดีกว่านี้
ตัณหานี้แหละคือพลังงานชีวิตที่ทำให้คนเกิดมาและเกิดต่อไปทุกภพทุกชาติ
ดังท่านว่า ตัณหาสิเนโห ตัณหาเป็นความติดใจในชีวิตอยากเกิดอยู่เรื่อย
ไม่เกิดอีกนั้น มีหนทางเดียวคือ บำเพ็ญวิปัสสนาญาณจนบรรลุพระอรหันต์เท่านั้น
๔.เกิดเพราะชีวิตเป็นวัฎสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักสิ้นสุด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดเรื่อยไป มันสุดแต่แรงกรรมที่สร้างไว้ในชาตินีจะนำไปเกิด
วัฎสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิด
ทุกข์ (ชีวิตที่เกิดมามีทุกข์ คือทนอยู่ไม่ได้)
อนิจจัง( ชีวิตไม่เที่ย่งแท้แน่นอน)
อนัตตา (ชีวิตไม่ใช่ตัวตนเราเขาที่แท้จริง) อย่าแปลคำว่า อนัตตา ว่าไม่ม่ตัวตน จะเป็นมิจฉาทิฎฐิไปทันที เพราะตัวตนเรามีอยู่จริง แต่มันไม่ใช่ตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร มันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องเปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติ
คนต้องเวียนว่ายตายเกิดจนกว่าจะบรรลุพระอรหันต์สู่พระนิพพานอันเป็นอมตะไม่เกิดไม่ตาย อยู่อย่างนั้นชั่วนิรันดร
พระนิพพานมิใช่สูญสิ้น เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรสูญสิ้นไปไหนเลย คงมีอยู่เหมือนเดิมเท่าเดิมทุกอย่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณ มีอยู่เหมือนเมื่อแรกสร้างโลก
พระพุทธเจ้าทุกองค์ พระอรหันต์ทุกองค์ จึงทรงภาวะเป็นอมตะอยู่ในพระนิพพาน ไม่สูญสิ้นไปไหนเลย
ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่อง "เกิดมาทำไม" ของคุณเชวง เดชะไกศยะ แล้วก็อยากจะสนทนาธรรมกับท่านผู้อ่านต่อไปในเรื่อง "เกิดมาทำไม" นี้
เพราะ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า "กาเลนะ ธัมมสากัจฉา เอตัมมัง คละมุตตะมัง" การสนทนาธรรมตามกาลเทศะเป็นอุดมมงคล
เรื่องเกิดมาทำไมนี้ มนุษย์ร้อยละร้อย ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม กว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว จนกระทั่งมหาบุรษองค์หนึ่งอุบัติขึ้นมาในโลก เมื่อก่อนพระพุทธศาสนา ๘๑ ปี ชือว่า สิทธัตถกุมาร เกิดมาได้ ๓๖ ปี ท่านจึงตรัสรู้ธรรมอันวิเศษว่าคนเกิดมาทำไม
ท่านจึงตรัสสอนไว้ว่า
๑. มนุษย์เกิดมาเพราะอวิชชา เกิดมาเพราะไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม ถ้าคนใดรู้แจ้งว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไมแล้ว คนนั้นก็จะไม่เกิดมาอีกเหมือนพระพุทธเจ้าที่จะไม่เกิดอีกแล้ว เกิดชาตินี้่เป็นชาติสุดท้าย พระอริยสงฆ์สาวกที่บรรลุธรรมแล้่วเป็นพระอรหันต์เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็รู้ว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม แล้วท่านก็ไม่เกิดอีกทุกองค์
พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในเรื่อง"ปฎฺิจจสมุปาท" (แปลว่าการเกิดขึ้นอย่างสืบเนื่องของชีวิต) ว่า คนเกิดมาเพราะอวิชชา, อวิชชาก่อให้เกิดสังขาร, สังขารก่อให้เกิดวิญญาณ, วิญญาณก่อให้เกิดนามรูป, นามรูปก่อให้เกิดสฬายตนะ, สฬายตนะก่อให้เกิดผัสสะ, ผัสสะก่อให้เกิดเวทนา, เวทนาก่อให้เกิดตัณหา, ตัณหาก่อให้เกิดอุปทาน, อุปทานก่อให้เกิดภพ,ภพก่อให้เกิดชาติ
"ชาติ" คำนี้แหละคือชีวิต
เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระอาจารย์บางท่านนำคำว่า "อิทัปทปัจยตา" มาถกแถลงด้วย
ที่จริง คำว่า "อิทัปปัจจยตา " แปลว่า "สิ่งนี้มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา" เมื่อหมดปัจจัยปรุงแต่งแล้วมันก็เสือมสลาย คือตายไป
"ปฎิจจสมุปบาท" แปลว่า "การเกิดขึ้นอย่างสืบเนื่องของชีวิต" มีความหมายกว้างกว่า ลึกกว่า มีความหมายรวม "อิทัปปัจจยตา"ด้วย
รวม
๒.เกิดมาเพราะกรรม อย่างที่คนโบราณท่านพูดว่า เกิดมาใช้กรรมเก่า
พระพุทธองค์ตรัสว่า"กัมมัง เขตตัง วัญญาณังพีชัง ตัณหัง สิเนโห" กรรมเป็นเนื้อนา วิญญาณเป็นเมล็ดพืชพันธ์ ตัณหาเป็นความทะเยอทะยานอยากเกิดมาเป็นชีวิต วิญญาณแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันอวิชชากั้นไว้ มีตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด อันตั้งอยู่ด้วยกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์จึงต้องไปเกิดในเบื้องหน้า คือกามภพ รุปภพ และอรุปภพ (กำเนิดเป็นสัตว์ มนุษย์ เทวดา พรหม) สัตว์โลชกเกิดมาดีทรามต่างกันเพราะแรงกรรมในชาติปางก่อน
ท่านว่าแรงใดๆในโลกนี้ ไม่มีแรงใดจะแรงเท่าแรงกรรมไปได้เลย ส่งผลข้ามภพข้ามชาติทีเดียว ถ้ายังไม่บรรลุพระนิพพานตราบใดก็ต้องเกิดมากินบุญเก่า เกิดมาใช้กรรมเก่า อยู่ตลอดไปชั่วกัปป์กัลป์ ใครว่าตายแล้วสูญ คนนั้น่เป็นมิจฉาทิฎฐิ
๓.เกิดมาเพราะตัณหา ตัณหานี้คือ ภวตัณหา คืออยากเกิดอยากมีชีวิตอยู่ แม้จะเป็นคนยากจน เป็นคนทุพพลภาพ ก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ อยากเกิดใหม่ในชาติหน้าที่ดีกว่านี้
ตัณหานี้แหละคือพลังงานชีวิตที่ทำให้คนเกิดมาและเกิดต่อไปทุกภพทุกชาติ
ดังท่านว่า ตัณหาสิเนโห ตัณหาเป็นความติดใจในชีวิตอยากเกิดอยู่เรื่อย
ไม่เกิดอีกนั้น มีหนทางเดียวคือ บำเพ็ญวิปัสสนาญาณจนบรรลุพระอรหันต์เท่านั้น
๔.เกิดเพราะชีวิตเป็นวัฎสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักสิ้นสุด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดเรื่อยไป มันสุดแต่แรงกรรมที่สร้างไว้ในชาตินีจะนำไปเกิด
วัฎสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิด
ทุกข์ (ชีวิตที่เกิดมามีทุกข์ คือทนอยู่ไม่ได้)
อนิจจัง( ชีวิตไม่เที่ย่งแท้แน่นอน)
อนัตตา (ชีวิตไม่ใช่ตัวตนเราเขาที่แท้จริง) อย่าแปลคำว่า อนัตตา ว่าไม่ม่ตัวตน จะเป็นมิจฉาทิฎฐิไปทันที เพราะตัวตนเรามีอยู่จริง แต่มันไม่ใช่ตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร มันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องเปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติ
คนต้องเวียนว่ายตายเกิดจนกว่าจะบรรลุพระอรหันต์สู่พระนิพพานอันเป็นอมตะไม่เกิดไม่ตาย อยู่อย่างนั้นชั่วนิรันดร
พระนิพพานมิใช่สูญสิ้น เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรสูญสิ้นไปไหนเลย คงมีอยู่เหมือนเดิมเท่าเดิมทุกอย่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณ มีอยู่เหมือนเมื่อแรกสร้างโลก
พระพุทธเจ้าทุกองค์ พระอรหันต์ทุกองค์ จึงทรงภาวะเป็นอมตะอยู่ในพระนิพพาน ไม่สูญสิ้นไปไหนเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น